ผกานาฎ เอี่ยมตระกูล
จักษุ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้🍪
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่มีการเสื่อมของเส้นประสาทตา ทำให้มีความบกพร่องในการส่งสัญญาณภาพ เมื่อส่งสัญญาณภาพไม่ได้ก็จะส่งผลทำให้สูญเสียการมองเห็นไปโดยทั่วไป ผู้ป่วยโรคต้อหินมักจะมี "ความดันลูกตาสูง" กว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการทำลายของเส้นประสาทตา
อาการของโรคต้อหินในระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ ต่อมาเมื่อประสาทตาถูกทำลายไปมากกว่า 40% ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการสูญเสียการมองเห็น โดยลานสายตาจะแคบลงเรื่อยๆ และถ้าไม่ได้รับการรักษาเส้นประสาทตาก็จะสูญเสียไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งมองไม่เห็นในที่สุด
การตรวจผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยด้วยโรคนี้ อย่างแรกคือ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน คือ
ทั้งนี้สามารถพบผู้ป่วยโรคนี้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ กลุ่มที่พบมากที่สุดคือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป นอกจากนี้คนที่สายตาสั้นหรือยาวมากๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อหินได้ในอนาคต
การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ความดันตาลดลง เป็นการป้องกันและยับยั้งการสูญเสียเส้นประสาทตาจากโรคต้อหินเนื่องจากเส้นประสาทตาส่วนที่เสียไปแล้วจะไม่สามารถกลับคืนมาได้ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ยาหยอดตา การทำเลเซอร์ และการผ่าตัดโดยอาจเริ่มจากการใช้ยาที่เป็นประเภทยาหยอดตาส่วนการใช้เลเซอร์สามารถใช้ร่วมกับยาได้เพื่อช่วยประคับประคองเส้นประสาทตาไม่ให้ถูกกดทับ ส่วนการผ่าตัดจะใช้ในกรณีที่ยาและเลเซอร์ไม่สามารถควบคุมความดันตาได้จึงต้องผ่าตัดเพื่อลดความดันตาให้ต่ำลง โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
ต้อหินมีความอันตรายต่อดวงตาของเรามาก หากไม่ดูแลรักษาสุขภาพดวงตาให้ดี ก็อาจทำให้เสี่ยงสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ นอกการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำแล้ว การทานอาหารที่มีประโยชน์มีวิตามินอี เอ และวิตามินซี บำรุงสายตา และหลีกเลี่ยงการมองแสงแดดจ้า สวมแว่นกันแดดป้องกันแสงยู ก็ถือเป็นการป้องกันดวงตาที่ดี ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถใช้งานดวงตาได้ยาวนานมากขึ้น
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น ควรได้รับการตรวจคัดกรองความดันตาและตรวจขั้วประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และอาจตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับดวงตาจะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที
แก้ไข
01/09/2566