นพ. อัครวิทย์ อัศวศักดิ์สกุล
ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้🍪
เราใช้ Cookies เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีที่สุด สรุปนโยบายความเป็นส่วนตัวและ Cookies อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ปัจจุบันโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งโรคฮิตที่พบได้ทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งบางคนใช้เวลามากถึง 8-12 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนใหญ่อาจนั่งผิดท่าและก้มเงย ๆ ดูหน้าจอมือถือโดยไม่มีการยืดหรือหยุดพัก
พฤติกรรมเหล่านี้ย่อมส่งผลให้หมอนรองกระดูกต้องทำงานหนักขึ้น เกิดเป็นอาการปวดหลังเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อม กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่ได้จำกัดแค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเหมือนในอดีต แต่พบในคนวัยทำงานที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ กว่าเมื่อก่อนมาก
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเกิดโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม มีดังนี้
อายุเป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งในการเกิดภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อม ถือเป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกายตามอายุ ซึ่งควบคุมได้ยากกว่าปัจจัยด้านอื่น ๆ
การใช้งานร่างกายผิดท่าเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะบริเวณที่กระทบต่อกระดูกสันหลัง เช่น การยกของหนัก การนั่งนาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ หรือการขับรถทางไกลบ่อย ๆ ล้วนส่งผลให้หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมเร็วกว่าปกติ
เช่น การสูบบุหรี่ มีผลทำให้คอลลาเจนในหมอนรองกระดูก เกิดการเสื่อมสภาพและเลือดไปเลี้ยงบริเวณหมอนรองกระดูกได้น้อยลง เมื่อสารอาหารไปหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นได้น้อย กระดูกจึงเกิดการเสื่อมสภาพเร็วกว่าวัยอันควร
ในแต่ละคนอาจมีโครงสร้างที่ไม่เท่ากัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสื่อมเร็ว และอาจเกิดการทรุดตัวของกระดูกได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะยังมีอายุน้อยอยู่
หากแพทย์พิจารณาแล้วว่าอาการของผู้ป่วยยังไม่รุนแรงและยังไม่มีอาการกดทับของเส้นประสาท แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาแบบประคับประคอง โดยมุ่งเน้นการบรรเทาอาการต่าง ๆ ดังนี้
การทานยา ได้แก่ ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบและยาคลายกล้ามเนื้อ
การทำกายภาพบำบัด เช่น การดึงหลัง หรือการใส่เสื้อหรือเข็มขัดพยุงหลังต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2-3 เดือน อาจช่วยลดอาการปวด และทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนกลับเข้าที่ได้ ในกรณีที่ไม่เป็นมาก
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งนาน ๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ หรือการก้มเงยดูหน้าจอโทรศัพท์ติดต่อกันเป็นเวลานาน รวมถึงหลีกเลี่ยงการยกของหนัก ยกของให้ถูกวิธี และการขับรถระยะทางไกลโดยไม่หยุดพัก เป็นต้น
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมเข้าร่วมโปรแกรมออกกำลังกายกับนักกายภาพบำบัดหรือรับคำแนะนำเพื่อฟื้นฟูกระดูกสันหลังอย่างถูกวิธี นอกจากนี้ผู้ป่วยควรยืดกล้ามเนื้อในตอนเช้าและทุกครั้งก่อนการออกกำลังกายเป็นประจำ เนื่องจากการออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวสามารถลดภาระของหมอนรองกระดูกลงได้
ผู้ป่วยที่มีการเสื่อมของกระดูกสันหลังมาก หรือมีการกดทับของเส้นประสาท และไม่ตอบสนองต่อแนวทางการรักษาเบื้องต้น แพทย์อาจพิจารณาการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ดังนี้
แพทย์จะสอดกล้องเอ็นโดสโคป (Endoscope) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนดวงตาของศัลยแพทย์ ผ่านทางแผลผ่าตัดที่มีขนาดไม่เกิน 8 มิลลิเมตร เพื่อเลือกตัดออกเฉพาะส่วนที่ทำให้เกิดปัญหา โดยวิธีการนี้ จะแตกต่างจากการผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบเดิมตรงที่แพทย์ไม่จำเป็นต้องตัดเลาะเนื้อเยื่อส่วนที่ดีออกเพื่อเปิดทาง ทำให้ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และลดโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยจึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
การผ่าตัดหมอนรองกระดูกด้วยคลื่นวิทยุ (Nucleoplasty) เป็นการรักษาแบบไม่วางยาสลบ โดยแพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปในหมอนรองกระดูกส่วนที่มีปัญหาและปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุ ซึ่งความร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณปลายเข็มจะเข้าไปสลายหมอนรองกระดูกที่เกินหรือยื่นออกมาไม่ให้กดทับเส้นประสาท
ข้อดีของการรักษาดังกล่าวคือการใช้เวลาน้อยและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติในระยะเวลาอันสั้น ส่วนมากมักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกอักเสบ
การสวมใส่เข็มขัดพยุงหลังเป็นอีกหนึ่งหนทางสำหรับรักษาและบรรเทาอาการปวดหลังหรือเอว โดยช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถทำงานเพื่อลดอาการเจ็บปวดขณะนั่ง ยืน เดินหรือยกของ ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อเข็มขัดพยุงหลัง ผู้ป่วยควรเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้
การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัย โดยการหันมาดูแลสุขภาพและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลต่อกระดูกสันหลัง นอกจากนี้การเข้ารับการตรวจจากแพทย์เฉพาะทางก็เป็นสิ่งที่ควรในทุกปี
ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลรามคำแหงพร้อมด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางให้บริการตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง ไขสันหลังและเส้นประสาทด้วยวิทยาการแพทย์สมัยใหม่ โดยมุ่งเน้นผลการรักษาที่ลดโอกาสเสี่ยงที่เกิดแก่ผู้ป่วยให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ศัลยกรรมกระดูกสันหลัง