หมดห่วง! แผลเบาหวาน ควบคุมได้ ถ้ารักษาที่ต้นเหตุอย่างถูกวิธี

March 20 / 2025

แผลเบาหวาน การดูแล

 

 

     ผู้ป่วยเบาหวานหลายท่านคงทราบดีแล้วว่า แผลเบาหวาน คือ ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยทุกคนต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แต่ในขณะเดียวกันหากเกิดบาดแผลขึ้นแล้ว หลายคนก็อาจกำลังสงสัยว่าควรดูแลอย่างไร ไม่ให้บาดแผลลุกลาม? แท้จริงแล้ว เราสามารถดูแลแผลเบาหวานไม่ให้อักเสบลุกลามได้ เพียงแค่เอาใจใส่บาดแผล และรับการรักษาที่ต้นเหตุอย่างตรงจุด นอกจากนี้ การศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับแผลเบาหวานและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การตัดนิ้วหรือตัดขา และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและไม่มีภาวะแทรกซ้อน

 

7 สัญญาณเตือนแผลเบาหวานมีอะไรบ้าง

  • มีอาการชาหรือเป็นเหน็บที่เท้า โดยไล่จากปลายนิ้วเท้าขึ้นไปยังบริเวณหลังเท้าหรือขา ผู้ป่วยมักเป็นทั้งสองข้างพร้อมกัน
  • รู้สึกปวดแปลบ คล้ายถูกเข็มแทงหรือถูกไฟช็อตที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง
  • รู้สึกปวดแสบปวดร้อน หรือร้อนวูบวาบบริเวณปลายมือหรือเท้า เมื่อสัมผัสจะพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณอื่น
  • สีผิวบริเวณนิ้วเท้า หรือปลายนิ้วมือเปลี่ยนจากเดิม อาจคล้ำขึ้นหรือซีดลงจนผิดสังเกต
  • ผิวหนังแห้งคัน หรือแห้งจนปริแตก เล็บแข็งหนาขึ้น หรือแตกร่อน
  • เกิดผิวหนังแข็งกระด้าง หรือตาปลา
  • รูปเท้าผิดไปจากปกติ อาจมีปุ่มกระดูกงอกโปนขึ้นมา

 

 

 

แผลเบาหวาน ดูแล

 

 

 

ดูแลแผลเบาหวานอย่างไรไม่ให้ลุกลาม

     ดูแลแผลเบาหวานอย่างไรไม่ให้ลุกลาม ไม่ได้ดูแลยากอย่างที่คิด ผู้ป่วยสามารถดูแลได้โดยทำตามวิธีต่าง ๆ ประกอบไปด้วย

 

1.  การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

     เราควรควบคุมระดับน้ำตาลด้วยการเลี่ยงการทานมื้อใดมื้อหนึ่งที่มากเกินไป นอกจากนี้ควรดูแลน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและตรวจค่าความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ

 

2.  การเลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม

     เราควรจำกัดปริมาณอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว รวมถึงผลไม้ ขนมหวาน และเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ขณะเดียวกันควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนซึ่งอุดมด้วยใยอาหาร เช่น ข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดสี ธัญพืชหลากชนิด นอกจากนี้ผู้ป่วยเบาหวานควรจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น

 

3.  การทำความสะอาดแผลอย่างสม่ำเสมอ

     เราควรหมั่นทำความสะอาดแผลให้ปราศจากเชื้อโรคด้วยการล้างแผลด้วยน้ำสบู่ น้ำอุ่น หรือน้ำเกลืออย่างน้อย 2-4 ครั้งต่อวัน และเช็ดแผลให้แห้งสนิททุกครั้ง หลังจากนั้นทายาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่งและปิดแผลด้วยผ้าก๊อซที่สะอาด

 

หมายเหตุ ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาด เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำลายโปรตีนในเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อบาดแผล

 

 

 

แผลเบาหวาน

 

 

 

4.  การดูแลใส่ใจเท้า

     เราควรตรวจเท้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าและควรล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้งแล้ว เราสามารถใช้โลชั่นทาให้ทั่วเพื่อให้ผิวอ่อนนุ่ม แต่ควรหลีกเลี่ยงการทาบำรุงบริเวณซอกนิ้วเท้าเพราะว่าเป็นบริเวณที่เกิดความอับชื้นได้ง่าย

 

5.  การเลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสม

     เราควรเลือกสวมใส่รองเท้าส้นเตี้ยซึ่งผลิตจากวัสดุที่ยืดหยุ่น ระบายความชื้น อากาศได้ดีและน้ำหนักเบา นอกจากนี้หากมีส่วนคลุมหน้าเท้าและมีพื้นรองเท้าดอกยางกันลื่นด้วยก็สามารถป้องกันอุบัติเหตุ

 

หมายเหตุ หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะแบบคีบ เพราะอาจทำให้เกิดการเสียดสีจนเกิดบาดแผลช่วงง่ามนิ้วเท้าได้

 

 

 

แผลเบาหวาน ดูแล

 

 

6.  การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

     การออกกำลังกายสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้ โดยผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกประเภทการออกกำลังกายที่ไม่ต้องลงน้ำหนักหรือเน้นการออกกำลังกายด้วยแขน

 

7.  การทานยาตามที่แพทย์สั่ง

     เราควรทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ควรปรับหรือลดขนาดยาเองตามความรู้สึก ที่สำคัญคือห้ามซื้อยาชุดมารับประทานเองและปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนการใช้ยาต่าง ๆ

 

8.  การเข้าพบแพทย์ตามนัด

     เราควรพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรยกเลิกหรือเลื่อนนัดแม้รู้สึกว่าอาการของแผลดีขึ้น ระหว่างที่แพทย์นัด หากพบว่าเกิดบาดแผลหรือความผิดปกติบริเวณปลายมือหรือเท้า เราควรรีบเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับการวินิจฉัยโดยละเอียด

 

 


สัญญาณเตือนการเกิดแผลโรคเบาหวานเช็กเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง และเมื่อมีอาการแล้ว ก็สามารถดูแลเพื่อป้องกันการลุกลามได้ แต่ก่อนจะไปถึงขั้นต้องสงสัยว่าตัวเองจะเป็นแผลเบาหวานหรือไม่ เราควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุ และเรียนรู้ภาวะแทรกซ้อนจากแผลเบาหวาน


 

 

 

สล็อต